วันพฤหัสบดี

โรคคาวาซากิ ความจริงที่แตกต่างจากโฆษณาไทยประกันชีวิต


ดิฉันเป็นลูกค้าไทยประกันชีวิต ประกันสุขภาพทั้งของตัวเองและทำให้ลูกเมื่อปลายปี49 ซึ่งขณะนี้ได้กำลังทำเรื่องขอยกเลิกทำประกันไป เพราะว่าผิดหวังมากกับบริการที่ได้รับ และไม่ได้ช่วยเหลือได้เลย ไม่เหมือนกับในโฆษณา แม้แต่นิดเดียว เมื่อลูกของดิฉันป่วยเป็นโรคคาวาซากิ เมื่อกลางปี 50 เรื่อง คือ เริ่มต้นลูกดิฉันป่วยหนักมาก มีอาการไข้สูง ดิฉันจึงได้ส่งลูกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ครั้งที่ 1 ลูกเข้ารับการรักษาประมาณ 7 วันโดยที่คุณหมอเองแจ้งแค่ว่าเด็กมีอาการไข้สูง แต่ไม่ได้มีการระบุว่าลูกเป็นโรคอะไร เพียงแต่มีการรักษาไปตามอาการเท่านั้น ซึ่งไม่มีอาการอะไรดีขึ้นเลย ซึ่งการรักษาครั้งแรกนั้น ดิฉันก็เคลมไป 1 ครั้ง ค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000 บาท เราต้องจ่ายเพิ่ม 3,000 บาท จากนั้นก็ตัดสินใจเปลี่ยนโรงพยาบาลทันที

ซึ่งครั้งที่ 2 นี้ พาลูกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวช ครั้งที่ 2 นี้ คุณหมอตรวจอาการ สันนิษฐานว่าเป็นโรคคาวาซากิ จึงขอทำECHO หัวใจทันที พบว่าหลอดเลือดหัวใจโตพร้อมกับไข้ยังสูงและอาการอื่นๆที่บ่งบอกว่าเป็นคาวา ซากิ ซึ่งเด็กที่มีโอกาสเป็นโรคนี้นั้นมีเพียง 1 ในล้านคน (ตามที่ทางไทยประกันชีวิตมีทำโฆษณาออกไป) จึงตัดสินใจให้ยารักษาทันที เนื่องจากลูกอยู่ในอาการที่น่าวิตกมาก ซึ่งค่ารักษาแพงมากๆๆ เบ็ดเสร็จที่โรงพยาบาลแห่งนี้ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 170,000 บาท แต่ครั้ง นี้ ดิฉันเคลมประกันได้เพียง 16,000 บาท เท่านั้น โดยที่ตัวแทนไม่ได้ช่วยเหลืออะไรมากแค่โทรมาว่าเป็นห่วง เคลมได้เท่านี้นะคะ ไม่สามารถช่วยเหลือ เช็คข้อมูล หาทางออกในการเคลมประกัน หรือสอบถามอะไรได้มากไปกว่าการพูดแค่นี้ ดิฉัน ต้องโทรเข้าไปสอบถามข้อมูลเอง ว่าเพราะอะไร เราเองก็จ่ายค่าเบี้ยประกันตรงตามเวลา ทำไม 170,000 บาท แต่เคลมได้แค่ 16,000 บาท

ทางบริษัทไทยประกันชีวิต แจ้งกลับมาแค่ว่า เหลือเงินในการเบิกเคลมไปแล้วในครั้งที่ 1 เหลือเงินเคลม ได้แค่ 16,000 บาทเท่านั้น เนื่องจากวินิจฉัยของทางหมอของบริษัทแจ้งว่า การเข้ารับการรักษา 2 ครั้งนั้นเป็นการรักษาโรคเดียวกัน ต่างโรงพยาบาลจึงเบิกได้แค่นี้ แล้วคนธรรมดาอย่างเรา จะทราบได้อย่างไร ถ้าเป็นใคร จะกล้าเอาลูกรักษาที่โรงพยาบาลเดิมไหม หมอที่โรงพยาบาลแรก ก็ไม่ได้แจ้ง ไม่ได้มีการระบุเลยว่าลูกเป็นโรคอะไร ระบุแค่เพียงว่าเป็นเด็กไข้สูง กว่าจะทราบว่าเป็นโรคคาวาซากิ ก็จากโรงพยาบาลที่ 2 ไหนล่ะความช่วยเหลือที่โฆษณาออกมา ไม่ต้องอาศัยอยู่ห่างไกล รอขึ้นเครื่องพาลูกไปรักษาที่ไหน แค่ดิฉันอยู่ในกรุงเทพ ยังไม่ได้รับบริการที่ดี หรือมีการชี้แจงที่ดี อย่างที่มีในโฆษณาเลย หรือ จะโฆษณาแค่เพียงว่าอยู่ที่ไหนก็พามาส่งได้ แต่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง และนอกจากจะไม่ได้รับค่ารักษาพยาบาลที่ใช้ไปตามจริงแล้ว พอแจ้งตัวแทนไปว่า ดิฉันจะขอยกเลิกประกัน เค้ายังขู่กลับมาว่า ถ้ามีการเบิกเคลมประกันไปแล้ว ยังไงจะต้องชำระค่าเบี้ยประกันต่อจนกว่าจะหมดอายุสัญญา 21 ปี ปีละ 16000 บาท คิดดูสิคะ โทษตัวเองด้วยส่วนหนึ่งที่อ่านสัญญา ไม่ละเอียดขนาดลึกซึ่ง แต่ก้อรู้สึกเสียใจว่าเราเลือกที่ประกันที่เรามั่นใจ แล้วก็ไม่คิดว่าลูกจะเป็นโรคร้าย แต่โชคร้ายก็เกิดขึ้นจึงหวังว่าที่ๆเราไว้ใจให้ดูแลจะสามารถช่วงเราได้ มากกว่านี้ 1 ในล้านตามที่โฆษณา แต่ทำกับเราแบบเป็นแค่ธรรมดาไม่ได้เห็นว่าเคสของเราเป็นเรื่องสำคัญตามที่ ได้โฆษณาไว้เลย สงสัยว่าต้องเป็นลูกค้าระดับไหน จ่ายเท่าไหร่ถึงจะได้รับการปฏิบัติตามที่ได้โฆษณาไว้

ก็อยากให้ทุกคน อ่านสัญญาดีดี ก่อนที่จะตัดสินใจทำประกันลงไป และอย่าไปหลงลมโฆษณาเกินจริงแบบนี้เลยนะคะ อและถ้าหากว่าใครเคยมีกรณีใกล้เคียง ก็อยากจะขอคำแนะนำด้วยนะคะ ว่าสามารถทำอย่างไรได้บ้าง

ความคิดเห็น
โฆษณาเวอร์กว่าของจริงแน่นอน ทุกผลิตภัณฑ์นั่นแหละ ไอ้ที่หารพ.ให้ ติดต่อเครื่องบินให้เนี่ยไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่

สำหรับกรณีของจขกท. เราของออกความเห็นในฐานะ เป็นคนที่มีกรณธรรม์หลายฉบับเลย เราว่าอยู่ที่จขกท.สมัครกรมธรรม์ประเภทไหน และทุนประกันเท่าไหร่ด้วย

สมมุติว่าเป็นกรมธรรม์แบบส่งไป 21 ปี แต่พอปีที่ ... ได้เงินคืน แสดงว่าเบี้ยประกันของคุณ 16,000 นั้น ต้องถูกแบ่งเป็นส่วนที่เป็นเงินออมด้วย ต้องดูว่าเบี้ยส่วนที่เป็นการรักษาพยาบาลมีเท่าไหร่ แล้วจากข้อมูลนั้น เค้าจะมีระบุเลยว่า เบิกค่าห้องได้วันละเท่าไหร่ ค่าหมอได้เท่าไหร่ ค่ารักษาพยาบาลครั้งละเท่าไหร่ คุณดูที่กรมธรรม์ของคุณได้เองเลย

ถ้าค่ารักษาเกินกว่าที่คุณจะได้ก็ต้องจ่ายส่วนเกิน เราว่าไม่ควรเหมารวม ถ้าคุณส่งเบี้ยประกันปีละเท่านี้ คุณจะให้ประกันเค้ารับผิดชอบเท่าหับคนที่ส่งเบี้ยปีละเป็นแสนได้อย่างไร

ส่วนเรื่องที่ว่าถ้ามีการเบิกแล้วเลิกไม่ได้ ไม่น่าจะใช่ เค้าต้องหลอกคุณแน่นอน เลิกได้แน่นอน แต่คุณจะขาดทุนเท่านั้น แต่ถ้ามองอีกกรณีนะ ถ้าแบบประกันของคุณเป็นแบบที่มีเงินออม ถ้าคุณเลิกปีที่ 2 หรือ 3 อาจไม่ได้เงินคืนเลย แต่ถ้าคุณส่งต่อไปถึงปีที่ 5 ขึ้นไป จะได้เงินคืนบางส่วน ถ้าคุณไม่ชอบประกันรักษาพยาบาลเค้า ก็ส่งต่อเฉพาะส่วนที่เป็นเงินสะสมก็ได้ เบี้ยจะลดลง แต่คุณต้องลองคำนวณดูว่าคุ้มไม๊ ปกติจำได้ประมาณเท่ากับ ด/บ 2.5 %

**** ปล. ของรับรองด้วยเกียรติ ว่าเราไม่ได้เป็นคนขายประกัน หรือ มีผลประโยชน์ใด ๆ กับบริษัทประกัน เป็นเพียงคนที่ทำประกันหลายกรมธรรม์ และเคยมีการซักไซ้จนมีความเข้าใจเรื่องประกันบ้าง
*************
เพราะแบบนี้ ถึงไม่อยากทำประกันชีวิต แถมพาล ยอมรับว่าพาลเลยพาลพวกที่ขายประกันทุกคน (เพื่อนพี่สาวคนนึงขายประกันเราก็ไม่ชอบนะ)พวกนี้ดีแต่ปาก พี่สาวเราทำของบริษัทแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง

ตอนทำ แนะให้ทำ ช่วยกัน ช่วยกัน พอเกิดไรขึ้น กว่าจะได้ละก็ รอไปเหอะ - -*เฮ้อ
*************
ประกันไม่เคยทำให้เราได้จิงๆค่ะ เรื่องจัดคนส่งไปที่โรงบาลในกรุงเทพค่ะ เพราะ อาเราอาการหัวใจกำเริบตอนมาต่างจังหวัด ขอติดต่อเรื่องขนย้ายผู้ป้วยไปที่รพ.กรุงเทพด่วน ประกันไม่ทำไรให้เลยค่ะ ตัวแทนไม่ตื่นมารับด้วยซ้ำ เราต้องติดต่อเอง อันนี่แล้วแต่คนจะคิดนะคะ แต่สำหรับเรา เรื่องนี้ทำให้เราเปลี่ยนช่องทุกครั้งที่เห็นโฆษณาหลอกลวงอันนี้...
เป็นข้อมูลก่อนซื้อประกัน บ.พวกนี้ทำโฆษณาออกมา เรียกน้ำตาคนดู
*************
ในกรณี นี้นะครับ กฎหมายคุ้มครองเรื่อง ประกัน ชีวิตไว้ว่า ประกันชีวิต เป็นสัญญาที่อาศัยความทรงชีพ หรือ มรณะ เป็นหลัก สำคัญ ถ้าเป็นกรณีที่มีการจ่ายค่ารักษาจากการเจ็บป่วยด้วยนั้น เป็นข้อตกลงเพิ่มเติมครับ กฎหมายไม่ได้คุ้มครองในเรื่องนี้มากนัก ฉะนั้นต้องอ่าน รายละเอียดข้อยกเว้นให้ดีนะครับ ส่วนเรื่องการโฆษณานั้นเราเอาผิดเขาไม่ได้ด้วยสิ และการบอกเลิก สัญญาประกันชีวิต ป.พ.พ. มาตรา 894 สามรถบอกเลิกได้โดยการไม่ส่งเบี้ยประกันในเวลาใดๆก็ได้ติดต่อกัน แต่ถ้ากรณีเราทำประกันมาอย่างน้อย สามปีแล้ว เรามีสิทธิที่จะเรียกค่าเวณคืนกรมธรรม์ หรือรับกรมธรรม์ใช้สำเร็จจากผุ้ รับประกัน
กล่าวคือ ถ้าทำมาแล้ว สามปี(อย่างน้อยที่สุด)ก็มีสิทธิได้เงินคืนบ้างครับ (เฉพาะประกันชีวิตนะ)ทั้งนี้ กรูณาอ่านรายระเอียดและปรึกษา ผู้รู้กฎหมายจะดีที่สุดเพราะ ข้อยกเว้นใดไม่ทำให้บุคคลภายนอกจากคู่สัญญาประกันได้รับความเสียหายย่อมมีผล บังคับใช้ (คู่สัญญาประกันภัยได้แก่ ผู้รับประกัน ผู้เอาประกัน ผู้รับประโยชน์ ครับ )
**************
ตอนแรกก็ว่าจะทำ แต่อ่านไปอ่านมา โรคนึงรักษาติดต่อกันได้ไม่เกิน 2 ครั้งมั้ง ต่อกี่ปีก็ไม่รู้ จำไม่ค่อยได้ละ แล้วตูจะทำไปทำไมเนี่ย เอาเปรียบชัดๆ
**************
เอ้าป่วยเป็นโรคเดียวกับลูกในโฆษณาเลยนะคะ สงสัยเอาเงินไปรักษาลูกคนนั้นหมดแล้ว แทนการจ่ายค่าตัวแง๋ๆ ทุกวันนี้เราไม่ได้ทำประกันอะไรเลย ตายก็ตาย ไม่มีปัญหารักษา ก็ถือว่าตัวเองซวยไป ทำบุญมาน้อย ใช้ประกันสังคมเอาแล้วกัน รายได้น้อยก็ต้องยอม
**************

ยกเลิกได้ค่ะ จะเคลมหรือไม่เคลมก็ยกเลิกได้ เพื่อนๆ เราพอเจอบริการไม่ดี เค้าก็ยกเลิกกันทั้งนั้น
ไม่เห็นมีปัญหาว่าไม่ได้ บางคนจ่ายมาหลายปีแล้ว ทิ้งเสียก็ขาดทุนก็เลยถอนประกันเสริมต่างๆ ออก เหลือไว้แต่ประกันชีวิตส่งต่อปีละไม่กี่ตังค์ ได้กลับอีกทีก็ตอนครบกำหนดหรือตาย
**************
ดิชั้นก็ทำกับไทยประกันชีวิต ทำมาหลายปีไม่เคยเคลม มาปีที่ 4หรือ 5 นี่แหละ ไปนอน รพ.ครั้งนึง

นอน 4 คืน โทร.หาตัวแทนไม่ได้ miss call ไม่โทร.กลับไม่มีการช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น
ดิชั้นต้องโทร.เข้าศูนย์ และให้ รพ.ช่วยดำเนินการต่างๆ ให้หมด ทุกวันนี้ที่ตัวแทนมาเก็บเงิน ยังแค้นไม่หาย คุณภาพทุกระดับประทับใจจริงๆ ยิ่งเห็นโฆษณาตัวใหม่ ยิ่งแค้น
**************

source: pantip.com  นี่เป็นคำโอดครวญของผู้บริโภค ไม่เห็นเจ้าหน้าที่บริษัทไทยประกันชีวิต จะเข้ามาดูแลแก้ปัญหา โฆษณาชวนเชื่อซาบซึ้งจนน่ำตาไหล แต่พอถึงเวลาผู้บริโภคมีปัญหาจริงๆ กลับไม่ได้รับการดูแล มีแต่เรียกน้ำตาผู้บริโภคตลอดเลย

6 ความคิดเห็น:

  1. จากผู้อ่าน
    [Contact form] สอบถาม เคส คาวาซากิ มีตัวตนจริงหรือไม่

    สอบถามเคส ที่มีการลงเรื่อง แม่ที่มีลูกเป็นโรค คาวาซากิแล้วมีปัญหา มีตัวตนจริงหรือไม่ เป็นการcopyข้อมูล มาอีกที หรือมีการส่งมายังทาง ผู้จัดทำ สาเหตุเพราะ ผมรู้สึกว่า พอจะมีทางต่อสู้ในเรื่องนี้อยู่บ้างในส่วนของการเรียกร้องสินไหมจากบริษัทประกันที่อ้างถึง และอีกส่วนหนึ่ง ข้อมูลที่ผมได้รับมาและเจอกับตัวเอง พบว่า ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยสำหรับบริษัทนี้ถ้าจะมีการผิดพลาดโดยเจตนาหรือไม่ไม่เจตตากับการจ่ายค่าสินไหมให้กับลูกค้า เพราะผมเคยทำเครมให้กับคนที่รู้จักกัน สาเหตุเพราะลูกค้าสงสัยว่าทำไมเงินที่ถูกจ่ายเป็นค่ารักษาจากบริษัทประกันถึ งน้อยแม้จะถามตัวแทนและบริษัทแล้วก็ได้รับแจ้งว่าจำนวนเงินที่จ่ายมานั้นได้ถูกต้องแล้วและจากการคำนวณของผมพบว่า ฝ่ายสินไหมมีการจ่ายเงินที่ผิดพลาด ซึ่งถ้าลูกค้าไม่รู้เรื่องก็เลยตมมเลย แต่เมื่อมีการทวงถามจึงมีการจ่ายเงินเพิ่มมาให้อีก สุดท้ายไม่ได้มีเจตนาอื่นใดแค่คิดว่า ไม่อยากให้บริษัทประกันเอาเปรียบลูกค้าและถ้าบริษัทประกันทำถูกต้องจะได้ชี้แจงให้ลูกค้าทราบ ปล.ในเคสนี้ผมยังไม่ได้วิเคราะห์ละเอียดมากแต่สิ่งที่แนะนำได้คือยังไม่ต้องยกเลิกกรมธรรม์ เพราะถ้าผ่านไป 90วัน หรือแล้วแต่เงื่อนไข ต่อให้เข้ารับการรักษาในโรคเดิมบริษัท ก็จะนับเป็นโรคใหม่ทันที วงเงินค่ารักษาจะเริ่มนับใหม่

    ตอบลบ
  2. @ จากผู้อ่าน
    สอบถามเคส ที่มีการลงเรื่อง แม่ที่มีลูกเป็นโรค คาวาซากิแล้วมีปัญหา มีตัวตนจริงหรือไม่

    source: พันทิพย์ ดอดคอม

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ11:57

    จริง เพราะลูกชายดิฉันนี่แหละที่เป็น ก็เหมือนกันพอรักษาครั้งที่ 2 ก็เคลมไม่ได้ ครั้งแรกจ่ายไป 150000 เบิกได้ 50000 เพราะตอนนั้นดิฉันได้สำรองเงินสดจ่ายไปก่อน ครั้งที่ 2จ่ายประมาณ 100000 เบิกไม่ได้เลย เหตุผลเหมือนกันโรคเดียวกัน และอีกอย่างเบี้ยประกันเรามันน้อย ส่วนเรื่องบริการ เค้าช่วยจริงไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้าย มันอยู่ที่ตัวแทนด้วยว่าใส่เราแค่ไหน โชคดีที่ดิฉันได้ตัวแทนที่ดีคอยดำเนินเรื่องให้ เพราะตอนนั้นดิฉันคิดอะไรไม่ออก คิดแค่ว่าจะทำอย่างไรให้ลูกหาย ให้ยาทัน เพราะลูกดิฉันเหลือเวลาอีกแค่ 2วัน เพราะกว่าจะรู้ว่าเค้าเป็นคาวาซากิก็วันที่ 8 แล้ว ซึ่งหมอบอกว่าโรคนี้ต้องให้ยาภายใน 10 วัน

    ส่วนเรื่องค่ารักษาพยาบาลดิฉันก็เบิกได้เท่านั้นแหละค่ะ ส่วนค่าตัวลูกดิฉันไม่ได้ค่ะเพราะลูกดิฉันไม่ใช่นักแสดง และเงินที่รักษาเกือบทั้งหมดก็คือเงินดิฉันค่ะ ขอให้เข้าใจไว้ด้วยนะค่ะ

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ23:59

    สวัสดีทุกท่าน ลูกผมอีกคนนึงที่เป็นโรคคาวาซากิ ตอนนั้นอายุได้ 1 ปี 3 เดือน ครั้งแรกเป็นเมื่อเดือนกรกฏาคม 2554 หมอบอกว่าส่วนใหญ่เด็กที่เป็นแล้วไม่เคยมีใครกลับมาเป็นอีก แต่ไม่ใช่กับลูกผม หลังจากนั้นอีก 4 เดือน ก็เข้า รพ.อีกครั้งเราก็คิดว่าคงไม่เป็นโรคเดิมหรอก หมอก็ไม่คิดเหมือนกัน เพราะไม่เคยเจอ ก็รักษาตามอาการไปเรื่อยๆ จนอาการชัดมาก จึงต้องรีบให้ยาตัวเดิมอีกครั้ง หมอบอกว่าถ้าเด็กดื้อยาก็ไม่มีทางรักษาแล้วและการให้ยาตัวเดิมอีกก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะจากการรักษาในครั้งแรกทิ้งช่วงไม่กี่เดือนเอง เกรงว่าปริมาณยาอาจมีอันตรายต่อเด็ก แต่ก็ยังโชคดีที่หายจากโรคนี้ได้ในครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ทราบว่าจะเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า คราวนี้หมอก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ เพียงแต่บอกว่าไม่เคยเจอแบบนี้ คงต้องกลับไปดูตำราหรือข้อมูลเก่าๆอีกสักรอบ แต่หมอได้แนะนำว่าถ้าอยากรู้สาเหตุต้องลองไปตรวจที่ รพ.รามา ดูอาจจะรู้ผลก็ได้

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ12:42

    สวัสดีค่ะ เรื่องของดิแันอาจจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับกรมธรรม์เท่าไหร่ แต่ก็อยากแชร์ความคิดเห็นค่ะ คือว่าน้องชายของดิฉันเขาก็เป็นโรคนี้ค่ะ โรคคาวาซากิ ตอนอายุ 2 ขวบตอนนี้เค้า 7 ขวบแล้วค่ะ เริ่มแรกไข้ขึ้นสูงถึงสูงมาก สอง สาม วันเริ่มมีอาการมือเท้าบวม วันที่ 4 ปากเริ่มแดง กว่าจะรู้ได้ว่าเป็นโรคอะไรก็ปาเข้าวันที่ 4 แล้วค่ะ หมอให้ยาในวันที่ 5 (ยอมรับว่าสงสารน้องมากตอนให้ยา) หลังจากนั้นก็เข้าโรงพยาบาลเพื่อตรวจเคลื่อนหัวใจเดือนละครั้ง และมีให้กินยาต่อเนื่องอีกประมาณ 3-4 เดือน หมอบอกว่าหายแล้วค่ะ ทุกคนโล่งใจ แต่ไม่นานมานี้ น้องเขาไม่สบายมีไข้แต่ไม่สูง แต่มือของน้องบวม ปากน้องเริ่มแดง ทุกคนตกใจมากทำอะไรไม่ถูก เพราะเด็กเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้จะอยู่ในช่างอายุ แรกเกิดถึง 5 ขวบ ตอนนี้น้อง 6 จะ 7 ขวบแล้วค่ะ พาไปหาหมอหมอบอกว่าเป็นไข้ธรรมดาไม่มีอะไรมาก. แต่ทางบ้านยังไม่วางใจค่ะ อยากถามผู้รู้ค่ะ ช่วยแชร์ความคิดเห็นด้วยนะค่ะ ชอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ19:54

    เด็กโตก็เป็นโรคคาวาซากิได้เหมือนกัน แต่เปอร์เซ็นต์การเป็นน้อยมาก ลูกเพื่อนผม อายุ 9 ขวบ แล้วก็เป็นคาวาซากิ กว่าจะรู้ว่า ผ่านไป 15 วัน ยาแกมม่ากอบโบลิน ก็ไม่ได้ เพราะความไม่รู้ของหมอ ให้นอนดูอาการอย่างเดียว ลูกสาวผมเป็นคาวาซากิ ปี 2536 ตอนนั้น ยังไม่มีใครรู้จัก เค้าหัวเราะกันใหญ่ เรางี้เสียใจสุดๆ ที่เอาความทุกข์ของเรามาเป็นเรื่องขบขัน รักษาที่รพ.สมิติเวช หมดไปเป็นแสนเหมือนกัน แต่ผมว่าโชคดีนะที่หมอเค้าวินิจฉัยได้เร็วและให้ยาทัน

    ตอบลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น